การตั้งครรภ์เดือนที่ 2

ส่วนใหญ่แล้วเราจะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์เมื่ออายุครรภ์เริ่มเข้าสู่เดือนที่ 2 เพราะเป็นช่วงที่ประจำเดือนเริ่มขาดไป ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อประจำเดือนขาดไปประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะไปตรวจ ซึ่งอาจจะซื้อที่ตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจเองก่อน แล้วจึงไปให้แพทย์ตรวจอย่างละเอียดและทำการฝากครรภ์ต่อไป

เมื่อเราไปฝากครรภ์เราควรจะหาโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านและไว้ใจได้ เนื่องจากเมื่อถึงกำหนดคลอดจะได้เดินทางมาได้สะดวกและรวดเร็ว รวมไปถึงการเดินทางมาตรวจครรภ์ด้วยนั่นเอง

เมื่อไปฝากครรภ์ แพทย์จะตรวจร่างกายของเราอย่างละเอียด โดยแพทย์จะดูการเปลี่ยนแปลงของช่องคลอด โพรงมดลูก ขนาดของมดลูก ตรวจปัสสาวะ วัดความดันเลือด กรุ๊ปเลือด และการตรวจวีดีอาร์แอล (การหาเชื้อซิฟิลิสในเลือด)

ซึ่งสิ่งที่เราต้องเตรียมตัวไปในการตรวจคือ สอบถามประวัติของทั้งฝ่ายเรา (แม่เด็ก) และทางฝั่งสามีของเรา (พ่อเด็ก) ว่าเคยมีประวัติการป่วยเป็นโรคอะไรบ้าง เพราะโรคบางโรคก็อาจจะเป็นโรคที่ติดต่อได้ทางพันธุกรรม นอกจากนั้นก็นำยาที่เรากินเป็นประจำไปให้แพทย์ดูด้วยว่ามีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อเด็กหรือไม่ รวมไปถึงบอกประวัติการป่วยของเราว่ามีอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้ป้องกันสิ่งที่จะส่งผ่านจากตัวเราไปยังตัวลูก และป้องกันการพิการตั้งแต่กำเนิดของลูก

การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของคุณแม่

ในช่วงเดือนที่สองของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในและภายนอก ซึ่งในปลายสัปดาห์ที่ 6 มดลูกเริ่มที่จะขยายตัว และหนาขึ้น เพื่อเตรียมรับการเติบโตของเด็ก

ในสัปดาห์ที่ 7 เราจะรับรู้ถึงการที่เต้านมขยายใหญ่ขึ้น ตรงฐานรองหัวนมก็มีสีเข้มขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังมีอาการคัดตึงบริเวณเต้านมคล้ายกับตอนที่มีประจำเดือน แต่มีอาการคัดตึงมากกว่าตอนที่กำลังจะมีประจำเดือนมากนัก นอกจากนี้ยังมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติอีกด้วย นอกจากนี้ก็อาจจะมีอาการของคนแพ้ท้อง โดยอาจจะคลื่นไส้ หรือว่ามีอาการวิงเวียนเกิดขึ้น ซึ่งหากว่ามีอาการแพ้ท้องโดยอาเจียนมากกว่าวันละ 3 ครั้งต่อวัน และไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเช้า ก็ให้ปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อลูกในท้องได้ เนื่องจากสุขภาพของแม่อ่อนแอ

ในช่วงสัปดาห์ที่ 8 มดลูกของแม่ขยายตัวมากขึ้น ขนาดจะอยู่ประมาณกำปั้นของเรา ช่วงนี้แม่อาจจะเป็นตะคริวบ่อยๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่เท้าและขาต้องรับน้ำหนักร่างกายที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม บวกกับการที่ร่างกายดึงแคลเซียมจากเรา (คนที่เป็นแม่) ไปให้กับลูกน้อยที่อยู่ในท้อง ทำให้เกิดอาการตะคริวได้ ดังนั้นเราจึงควรกินอาหารที่มีแคลเซียมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปลาเล็กปลาน้อย (ปลากะตักที่สามารถกินเข้าไปทั้งตัวได้) หรือว่านมที่มีแคลเซียมสูง (ไฮแคลเซียม) เพื่อให้ร่างกายของเราไม่ขาดแคลเซียม

การเติบโตของลูก

สัปดาห์ที่ 6 เด็กยังมองเห็นไม่ค่อยจะชัดเจนว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหน มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ซึ่งลูกจะอยู่ในถุงน้ำคร่ำที่อยู่ในมดลูกอีกต่อหนึ่ง

สัปดาห์ที่ 8 เริ่มจะเห็นชัดเจนว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหน เริ่มเห็นหน้า โครงของช่วงฟันและปาก แขน ขา ตา และเพศ ขนาดของลูกจะอยู่ที่ประมาณ 3 เซนติเมตร

ข้อควรระวัง

ในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก และ 3 เดือนสุดท้าย สิ่งที่พึงระวังเอาไว้ก็คือ

  1. ไม่ทำงานที่ต้องออกแรงด้วย ไม่ว่าจะเป็นงานที่ทำงานหรือว่างานบ้าน
  2. นอนให้ได้วันละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
  3. งดการเดินทางในระยะทางไกลๆ ซึ่งกินเวลานาน เพราะจะมีผลกระทบต่อลูกในท้องได้
  4. งดการมีเพศสัมพันธ์ เพราะอาจจะทำให้แท้งหรือว่าคลอดก่อนกำหนดได้
  5. ไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือว่าเป็นอะไร แม้ว่าเล็กน้อยแค่ไหนก็ควรไปหาหมอ เพื่อให้หมอออกใบสั่งยาได้ เพราะยาบางชนิดจะมีผลต่อลูกน้อยอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ตัวอย่างยาที่เป็นอันตรายต่อลูกในท้องก็อย่างเช่น ยาแก้ปวดหัวตัวร้อน ยาแก้แพ้ท้องทุกชนิดที่หาซื้อได้เองตามท้องตลาด
  6. แม้แต่การก้มตัวลงไปหยิบของหนัก หรือว่าการเอื้อมมือไปหยิบของที่อยู่สูงก็อาจจะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหลังได้ ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิตมากกว่าเดิม

ข้อควรรู้

อาการแพ้ท้องของคุณแม่ ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดในช่วง 12 สัปดาห์แรกของการตั้งท้อง ( ช่วง 3 เดือนแรก ) และอาจจะเกิดขึ้นอีกทีในช่วงที่ท้องแก่ใกล้คลอด อาการแพ้ท้องของแต่ละคนมีอาการที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็จะคลื่นไส้ หรือไม่ก็อาจจะกินนุ่นกินนี่ ซึ่งอาจจะเป็นของที่เกลียด หรือว่าไม่เคยอยากกินมาก่อนเลยก็ได้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะฮอร์โมนในร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลง

เมื่อเราแพ้ท้องเราพึงระลึกเอาไว้ว่า อาการแพ้ท้องนั้นจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นออยู่กับสุขภาพจิตของเราเอง หากว่าเราเครียดและกังวลมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดอาการแพ้ท้องหนัก และมากกว่าคนอื่น ดังนั้นเราจะต้องรักษาสุขภาพจิตของเราให้แข็งแรง โดยไม่ต้องวิตกกังวลกับเรื่องต่างๆ มากจนเกินพอดี

บทความที่เกี่ยวข้อง

การทำอัลตราซาวด์ขณะตั้งครรภ์
ปัจจุบันนี้เราสามารถทราบเพศ และลักษณะของลูกได้จากการอัลตราซาวนด์ ซึ่งก็มีพ่อแม่ใจร้อนหลายๆ คู่ อยากจะทราบว่าลูกของเราเพศหญิงหรือว่าเพศชาย เพื่อที่จะซื้อของหรือว่าตั้งชื่อให้ตรงกับเพศ ซึ่งก็มีหลายๆ เหตุผลกันไป สำหรับการทำอัลตราซาวนด์ การทำอัลตราซาวนด์คืออะไร? การทำอัลตราซาวนด์ หรือภาษาอังกฤษคือ Ultrasound คือวิธีการสร้างภาพของทารกที่อยู่ในท้อง โดยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงออกไปจากหัวตรวจ ซึ่งคลื่นเสียงนี้จะไปกระทบกับเนื้อเยื่อ ซึ่งเนื้อเยื่อแต่ละแห่งก็จะสะท้อนเสียงกลับมาแตกต่างกัน ซึ่งเมื่อคลื่นเสียงสะท้อนออกมา เครื่องก็จะอ่านค่าซึ่งบ่งบอกความหนาแน่นและความลึกของเนื้อเยื่อ จากนั้นก็ป..